ย้อนรอย “สมพงษ์ เลือดทหาร” ถึง “พีท ธนวรรธน์” พ่อค้าหวย 90 ล้าน ยุคนี้หลอกอะไรใครไม่ง่าย

รับโทษชดใช้กรรมกันไปแล้ว สำหรับนายธนวรรธน์ หรือพีท คำแหงพล อายุ 35 ปี พ่อค้าลอตเตอรี่ภายในปั้มน้ำมัน ปตท. ถ.เอกชัย ต.โคกขาม อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร

อ้างตัวว่าให้โชคกับลูกค้าชาวแม่กลอง ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 ก.ย. 2561 หมายเลข 734510 จำนวน 15 ใบ เป็นเงินรางวัลมูลค่าถึง 90 ล้านบาท

โดยเป็นการสั่งซื้อทางไลน์และให้มารับลอตเตอรี่หลังหวยออก เมื่อถูกรางวัลพ่อค้ารายนี้ไม่ได้นำไปขึ้นเงินเอง แต่รอมอบให้ลูกค้าที่ซื้อไว้ กลายเป็นกระแสชื่นชมในสังคมถึงความซื่อสัตย์และจริงใจ

สื่อมวลชนจากหลายสำนักให้ความสนใจมาทำข่าวที่หน้าร้าน ชาวบ้านจากทั่วสารทิศต่างแวะอุดหนุนสลากกินแบ่งรัฐบาลจนเกลี้ยงแผง จนได้ฉายาว่า “พีท แผงแตก”

เรื่องราวโด่งดังไปทั่วประเทศ ถึงขนาดที่ว่าทางจังหวัดสมุทรสาคร เตรียมเสนอเรื่องมอบประกาศเกียรติคุณในด้านความซื่อสัตย์ มีซินแสชื่อดัง เดินทางมามอบแผ่นป้ายคำว่า “รวย” พร้อมดูฮวงจุ้ยของแผงสลากฯ ด้วยความชื่นชม

แต่แล้วเรื่องราวของนายพีทกลับส่อเค้าว่าเป็นเรื่องโอละพ่อ เมื่อ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาตั้งข้อสังเกตผ่านเฟซบุ๊กเพจของชมรม ถึงภาพของนายพีทกับสลากที่ถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งมีการเผยแพร่ทั่วไปผ่านสื่อ ตัวเลข 7 มีความคลาดเคลื่อนจากเลข 3 เหมือนกรอบสี่เหลี่ยมตัดแปะ

อีกทั้งลายน้ำในแถบสีเขียว เขียนว่า สามสามสี่ห้าหนึ่งศูนย์ เมื่อเทียบกับกับภาพของสลากของผู้ที่ถูกรางวัลที่ จ.สุรินทร์ เขียนว่า เจ็ดสามสี่ห้าหนึ่งศูนย์ นอกจากนี้ ชาวเน็ตได้มีการนำบาร์โค้ดของสลากจากภาพดังกล่าว ไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ปรากฎว่าไม่ถูกรางวัล

ก่อนที่นิยาย “พ่อค้าลอตเตอรี่ผู้ซื่อสัตย์” จะถึงกาลอวสาน 7 ก.ย. 2561 นายพีทได้ไปออกรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เอสดี (ช่อง 28)

ระหว่างถ่ายทำได้มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนายอัจฉริยะ ชี้แจงถึงความผิดปกติของสลากที่อยู่ในรูปภาพ และจะนำภาพของนายพีทที่ถ่ายคู่กับสลากที่ถูกรางวัลที่ 1 ไปยื่นต่อผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อตรวจสอบ

หลังสัมภาษณ์พร้อมกันจบ นายพีทหลั่งน้ำตาหันหลังให้กล้อง จน น.ส.นวนันท์ บำรุงพฤกษ์ ผู้ดำเนินรายการ ต้องเรียกให้หันมาคุยกันต่อ ซึ่งเจ้าตัวยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ถัดจากนั้นอีกวัน นายพีท ได้สารภาพกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร ว่าเป็นการหยอกเล่นกันในกลุ่มไลน์ โดยตัดตัวเลข 7 มาแปะ แล้วนำมาถ่ายรูป แต่เมื่อเป็นข่าวเผยแพร่ออกไปก็เลยตามน้ำไป ผู้สื่อข่าวรายนั้นจึงแนะให้นายพีทแถลงข่าวที่แผงขายลอตเตอรี่ แต่ก็ไม่มีการปรากฏตัว

ต่อมาศาลจังหวัดสมุทรสาครได้ออกหมายจับนายพีท ในข้อหาความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขายสลากเกินราคา และฉ้อโกง

สองวันหลังจากนั้น (10 ก.ย.) นายพีทพร้อมด้วยทนายความ ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.โคกขาม พร้อมแถลงข่าวขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปิดตำนาน “พีท แผงแตก” ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

จากอุทาหรณ์ดังกล่าว เปรียบได้กับกรณีคลาสสิคอย่าง “แท็กซี่ลวงโลก” เมื่อ 21 ปีที่แล้ว

1 ส.ค. 2540 สังคมไทยได้รู้จักชื่อของ “นายสมพงษ์ เลือดทหาร” โชเฟอร์รถแท็กซี่ที่เก็บเงินสด เช็ค และโฉนดที่ดิน ไปคืนนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ลืมไว้ในรถ มูลค่าราว 19 ล้านบาท ผ่านปากคำของ “นายวิโรจน์” ชายลึกลับที่อ้างตัวเป็น รปภ. สนามบินดอนเมือง โทรศัพท์เข้ามาเล่าในรายการวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน

หลังจากนั้น สื่อมวลชนทุกแขนงต่างพากันนำเสนอข่าว ทำให้นายสมพงษ์เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ จากโชเฟอร์รถแท็กซี่ธรรมดา ถูกยกย่องเชิดชูกลายเป็นวีรบุรุษเพียงชั่วข้ามคืน รายการทีวีต่างพากันแย่งคิวสัมภาษณ์ พร้อม ๆ กับที่นายสมพงษ์เดินสายรับเงินรางวัลและโล่ประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ มากมาย

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในสังคมจำนวนมากต่างพากันเคลือบแคลงสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ เพราะไม่ปรากฏตัวผู้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น สื่อมวลชนหลายสำนักต่างลงพื้นที่หาข่าว แต่ไม่มีผู้ยืนยัน ถึงขนาดที่ นสพ. ฉบับหนึ่งประกาศมอบเงินรางวัลก้อนโตให้แก่นายวิโรจน์ แต่ก็ไม่ปรากฏตัว

สิบวันต่อมา พล.ต.ต.กว้าง ชาญศิลป์ ผบก.ทท. ได้สั่งระงับการแจกโล่ประกาศเกียรติคุณอย่างกะทันหัน เนื่องจากพบพิรุธหลายประการ และได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ปรากฏว่า นายวิโรจน์ รปภ.สนามบินดอนเมือง ไม่มีตัวตนอยู่จริง อีกทั้งเมื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดของสนามบิน บริเวณอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออกในวันและเวลาที่นายสมพงษ์กล่าวอ้าง กลับไม่พบภาพของนายสมพงษ์และชายชาวต่างชาติรายนั้น

มิหนำซ้ำช่วงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ได้ปรากฏบุคคลต่าง ๆ ดาหน้าออกมาแฉพฤติกรรมอีกด้านของนายสมพงษ์ ทั้งเรื่องเบี้ยวเงิน ชอบอ้างเป็นตำรวจจับแท็กซี่พวกเดียวกัน จนเจ้าตัวต้องลงทุนสาบานต่อศาลหลักเมืองและพระแก้วมรกต ต่อหน้านักข่าวและประชาชนจำนวนมาก

แต่ความแคลงใจยังไม่หมดไป เมื่ออดีตภรรยาของนายสมพงษ์ ได้ปรากฏตัวออกมาแฉว่า ถูกหลอกให้แต่งงานด้วยกัน โดยนายสมพงษ์ได้เข้ามาตีสนิทพร้อมอวดอ้างตัวเองเป็น เสี่ยนากุ้ง จนฝ่ายหญิงใจอ่อนพาไปกราบพ่อและแม่ที่ จ.นครสวรรค์ ก่อนจะลงเอยด้วยตบแต่งตามประเพณี

ในงานแต่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวมีเพียงนายสมพงษ์เพียงคนเดียว อ้างว่าญาติตายหมดแล้ว และไปแบบตัวเปล่าไม่มีสินสอดทองหมั้นไปสู่ขอตามประเพณี อ้างว่าขับรถไปชนคนต้องเสียเงินวิ่งเต้นคดี เลยไม่มีเงินไปสู่ขอ สุดท้ายฝ่ายหญิงต้องไปกู้เงินมาจัดงานกู้หน้าตัวเอง

ชีวิตรักของทั้งสองอยู่ได้ไม่ทันข้ามปี เมื่อฝ่ายหญิงจับได้ว่าถูกหลอกจนเกือบหมดตัว เงินทองที่เคยสะสมเอาไว้ก็ถูกปอกลอกจนหมดสิ้นประดามี สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไป โดยฝ่ายหญิงบอบช้ำทางใจขนาดหนักขอย้ายไปทำงานประจำที่ประเทศจีน

28 ส.ค. 2540 รายการเจาะใจได้ออกอากาศเทปที่นายสมพงษ์เป็นแขกรับเชิญ ซึ่งเป็นครั้งที่สองของเจ้าตัว พร้อมอดีตภรรยาที่เคยถูกหลอกให้แต่งงาน แต่ไม่ได้มีการเผชิญหน้ากัน คราวนี้นายสัญญา คุณากร พิธีกรได้ป้อนคำถามไล่ต้อนจนเจ้าตัวพูดไม่ออก

อีกทั้งได้มีการนำเทปสัมภาษณ์ของนายสมพงษ์ มาเปรียบเทียบกับเทปเสียงพูดของนายวิโรจน์ ที่ทางรายการร่วมด้วยช่วยกันบันทึกเอาไว้ ปรากฏว่าลักษณะของเสียงคล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งฝ่ายอดีตภรรยาเปิดเผยในรายการว่า นายสมพงษ์ มักจะดัดเสียงพูดโดยการใช้มือบีบจมูก โทรศัพท์เข้ามาเย้าแหย่เป็นประจำเมื่อครั้งที่ยังครองคู่อยู่ด้วยกัน

ซึ่งก่อนหน้านี้ มีประชาชนเข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.วิมล เปาอินทร์ ผกก.สน.ดอนเมือง เพื่อสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทาง พ.ต.อ.วิมล จึงส่งเทปบันทึกเสียงให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ พร้อมกับส่งสำนวนให้ทางผู้บังคับบัญชาระดับ บช.น. ดำเนินการต่อ โดย พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ ผบช.น. มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบช.น. เข้าควบคุมรับผิดชอบคดีดังกล่าว

กระทั่ง 29 ส.ค. 2540 พล.ต.ต.วิสุทธิ์ สุวรรณสุทธิ ผบก.กองพิสูจน์หลักฐาน แถลงข่าวผลการตรวจลักษณะของคลื่นเสียงของนายวิโรจน์กับคลื่นเสียงของนายสมพงษ์ ซึ่งผลออกมามีลักษณะเดียวกัน กองพิสูจน์หลักฐานจึงมีมติว่าเสียงทั้งสองเสียงนั้นเป็นบุคคลคนเดียวกัน

เรื่องราวของ “แท็กซี่ฮีโร่” จึงกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ ทางพนักงานสอบสวนจึงได้อนุมัติออกหมายจับในข้อหาหลอกลวงประชาชน ส่วนเงินรางวัลโล่เชิดชูเกียรติต่าง ๆ ถูกยึดคืนทั้งหมด

 

หลังจากจำนนด้วยหลักฐานและแรงกดดันจากสังคม เช้าตรู่ของวันที่ 1 ก.ย. 2540 นายสมพงษ์จึงตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ ผช.ผบช.น. พร้อมกับรับสารภาพว่ากุเรื่องขึ้นทั้งหมด ที่ทำไปเพราะนึกสนุก ไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ และเสียงของ รปภ. ที่อ้างว่าชื่อวิโรจน์ แท้จริงแล้วก็คือเสียงของตนเอง โดยใช้มือข้างหนึ่งอุดจมูกไว้ นายสมพงษ์ จึงตกเป็นผู้ต้องหาหลอกลวงประชาชน และฉ้อโกง

สุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2540 นายสมพงษ์ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ฐานหลอกลวงประชาชน แต่เนื่องจากให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และศาลยังพิพากษาให้คืนเงินรางวัลที่ได้รับมาจำนวนเงินประมาณ 200,500 บาท

แต่ด้วยความประพฤติที่เรียบร้อยเป็นนักโทษชั้นดี ทำให้ติดคุกเพียง 1 ปี 2 เดือน จึงพ้นโทษออกมา ผ่านมา 21 ปี ปัจจุบันนายสมพงษ์อยู่กับภรรยาและลูกอย่างเรียบง่าย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และรับงานนักร้องเพลงลูกทุ่งตามงานต่าง ๆ

แม้เรื่องราวของ สมพงษ์ เลือดทหาร จะผ่านมานานกว่าสองทศวรรษ จนเป็นกรณีศึกษาแก่สังคม แต่มิวายเกิดกรณีของ พีท แผงแตก ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยพล็อตเรื่องที่คล้ายคลึงกัน จากคนซื่อสัตย์ กลายเป็นดีแตกจนต้องติดคุก

เพียงแต่ว่ายุคนี้มี “สื่อสังคมออนไลน์” ที่คอยตั้งข้อสงสัยและร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงไปพร้อมกับสื่อกระแสหลัก อย่างกรณีของนายพีท มีการนำภาพถ่ายมาตรวจสอบกันอย่างละเอียด บีบให้เจ้าตัวต้องสารภาพความจริงในภายหลัง

กระชากหน้ากาก “พ่อค้าลอตเตอรี่ผู้ซื่อสัตย์” กลายเป็นคนลวงโลก ภายในเวลาเพียงแค่ 5 วัน

– กิตติกร นาคทอง –

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *