ก่อนหน้านี้สาครออนไลน์เคยวิเคราะห์-เจาะลึก ศึกเลือกตั้งสมุทรสาคร 54 มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ในภายหลังเราได้พบความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของเขตเลือกตั้ง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยยะทางการเมืองอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่ 3 ที่เชื่อกันว่าน่าจะมีการแข่งขันกันสูง

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติรับรองแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบทั้ง 77 จังหวัด 375 เขตแล้ว ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาครพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในส่วนของเขตเลือกตั้ง ที่แตกต่างจากการแบ่งเขตในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 และ 2548 อย่างสิ้นเชิง เพราะมีการโยกย้ายสลับสับเปลี่ยนตำบลโดยยึดฝั่งแม่น้ำเป็นหลัก

โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 อำเภอเมืองสมุทรสาคร 9 ตำบล ได้แก่ มหาชัย ท่าฉลอม โกรกกราก คอกกระบือ พันท้ายนรสิงห์ โคกขาม บางหญ้าแพรก ท่าทราย และบางน้ำจืด ซึ่งจะต้องแข่งกันระหว่าง นายครรชิต ทับสุวรรณ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ กับ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร เจ้าของพื้นที่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าตัวได้ยืนยันกับสาครออนไลน์ว่าจะลงเขตนี้

ในส่วนของเขตเลือกตั้งที่ 2 อำเภอเมืองสมุทรสาคร 1 ตำบล ได้แก่ นาดี กับอำเภอกระทุ่มแบน 8 ตำบล ได้แก่ ตลาดกระทุ่มแบน อ้อมน้อย ท่าไม้ สวนหลวง แคราย คลองมะเดื่อ ดอนไก่ดี และท่าเสา เขตนี้จะมีการแข่งกันระหว่าง นาวาตรีสุธรรม ระหงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่เดิม กับ นายบุญชู นิลถนอม หรือกำนันหลอ ส.อบจ.สมุทรสาคร เขตอ้อมน้อย คนใกล้ชิดนายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ หรือนายกฯ ตุ่น ในนามพรรคเพื่อไทย

ที่น่าแปลกใจก็คือ การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้โยกสองตำบลของอำเภอกระทุ่มแบน ได้แก่ บางยาง และหนองนกไข่ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำท่าจีน ไปอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 3 ร่วมกับอำเภอบ้านแพ้ว 12 ตำบล ร่วมด้วย 8 ตำบลของอำเภอเมืองสมุทรสาคร ได้แก่ ท่าจีน (ซึ่งเดิมอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 1) บ้านเกาะ บางกระเจ้า ชัยมงคล บ้านบ่อ บางโทรัด กาหลง และนาโคก

เขตนี้เนื่องจากนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ หรือปลัดแต เจ้าของฐานเสียงเดิมยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ซึ่งกว่าจะพ้นโทษก็ต้องรอไปถึงปี 2555 งานนี้ นายมณฑล ไกรวุตนุสสรณ์ หรือเฮียม้อ ส.ส.สมุทรสาคร ผู้เป็นบิดาต้องลงสมัครด้วยตัวเองเพื่อรักษาฐานเสียงของบุตรชาย แข่งกับ นายนิติรัฐ สุนทรวร หลานชายนายณรงค์ สุนทรวร อดีต ส.ส.รุ่นเก่าประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม ผลจากการแบ่งเขตเลือกตั้งครั้งนี้ เขตเลือกตั้งที่ 3 อาจเรียกได้ว่าเป็นเขตชนช้างในการเลือกตั้งครั้งนี้เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะเป็นเขตเลือกตั้งที่ใหญ่กว่าใครเพื่อน และมีจำนวนตำบลในพื้นที่มากถึง 22 ตำบลจากทั้ง 3 อำเภอแล้ว อาจจะต้องแข่งขันกันด้วยความอาวุโสและบารมีทั้งกระแสคนและกระแสพรรค รวมทั้งสรรพกำลังทั้งในจังหวัดและระดับประเทศ

แม้ในพื้นที่บ้านแพ้วทั้งอำเภอจะเป็นฐานเสียงของเฮียม้อและปลัดแตโดยตรง แต่ตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้คะแนนกลับมาพลิกผันได้ก็คือ สองตำบลในอำเภอกระทุ่มแบนที่นำมาผสมกันในเขต 3 ได้แก่ บางยางที่มีอยู่ 13 หมู่บ้าน ประชากร 5,115 คน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2553) และหนองนกไข่ที่มีอยู่ 8 หมู่บ้าน ประชากร 3,552 คน รวมกันแล้ว 8,667 คน ซึ่งถือว่าหนาแน่นพอสมควร

สองตำบลในกระทุ่มแบนนอกจากเป็นแหล่งเพาะปลูกดอกกล้วยไม้คุณภาพดี อาจเรียกได้ว่าเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งหนึ่งในจังหวัดก็ว่าได้ สิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ สองตำบลนี้เคยเป็นฐานเสียงและเป็นเขตบารมีของ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่ตำบลบางยางกันอย่างยาวนาน

บารมีของพลอากาศเอกสมบุญ ยังส่งผลทำให้หลานชายตนเอง คือ นาวาตรีสุธรรม บุตรของ นายอุดม ระหงษ์ น้องชายของพลอากาศเอกสมบุญได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.และมีบทบาทในพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย นอกจากนี้โครงการไทยเข้มแข็ง ใน รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรมทางหลวงชนบทยังลงงบประมาณก่อสร้างถนนในพื้นที่บางยาง หนองนกไข่ และท่าไม้ ตำบลบริเวณแม่น้ำท่าจีนฝั่งขวา ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเกิดของนาวาตรีสุธรรมเป็นพิเศษ

การแบ่งฐานเสียงของพลอากาศเอกสมบุญให้ไปอยู่ในพื้นที่บ้านแพ้ว แม้ด้านหนึ่งเป็นความเสี่ยงที่คะแนนเหล่านี้อาจจะเสียของ ถ้าไม่สามารถเอาชนะฐานเสียงเดิมของตระกูลไกรวัตนุสสรณ์ ในพื้นที่บ้านแพ้วทั้งอำเภอ โดยเฉพาะแถบตำบลหลักสาม หนองสองห้อง และโรงเข้ ซึ่งเป็นฐานเสียงของปลัดแตตั้งแต่ดั้งเดิมได้

แต่อีกด้านหนึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ในเขตนี้ ก็ถือเป็นกลยุทธ์เพื่อขยายฐานเสียงและจำนวน ส.ส.ในจังหวัดให้ครบทีมทั้ง 3 คนมากขึ้น และการออกมาให้ข่าวจากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายสาธิต ปิตุเดชะ ส.ส.ระยอง ในฐานะที่รับผิดชอบผู้สมัคร ส.ส.ภาคกลาง ยังหวังจะได้นายนิติรัฐจากเขตเลือกตั้ง 3 เป็น ส.ส.ของพรรคเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ถึงกระนั้นการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 แม้จะไม่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งระบบเขตเดียวเรียงเบอร์ แต่ด้วยความที่คะแนนของนายนิติรัฐห่างจากคะแนนของนายมณฑลเพียงแค่ 9,900 คะแนน งานนี้ถือเป็นการเดิมพันแบบกล้าได้กล้าเสีย ระหว่างบารมีของตระกูลไกรวัตนุสสรณ์ที่ฝังรากลึกมานาน กับตระกูลระหงษ์ ที่เสริมคะแนนของนิติรัฐให้พอมีลุ้น

ในส่วนของเขตเลือกตั้งที่ 1 การแข่งขันกันระหว่างนายครรชิต เจ้าของเก้าอี้ ส.ส.ที่มีอยู่เดิม กับนายอนุสรณ์ในสังกัดพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อ เนื่องจากเป็นมวยรุ่นลูกที่สืบทอดทางการเมืองต่อจากรุ่นพ่อเหมือนกัน และเป็น ส.ส.สมัยเดียวเหมือนกัน ถึงกระนั้นปัญหาของนายครรชิตคือไม่ได้ทำพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ต่างจากนายอนุสรณ์ที่มักจะตามพี่ชายอย่างนายกฯ ตุ่นออกงานตามที่ต่างๆ

ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 2 นอกจากนาวาตรีสุธรรม ต้องสละฐานเสียงของพลอากาศเอกสมบุญผู้เป็นลุงของตัวเอง จากการแบ่งเขตเลือกตั้งกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเพราะคะแนนจัดตั้งในพื้นที่หายไปแล้ว ดูเหมือนว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่อ้อมน้อยของนายบุญชู เริ่มที่จะมีจุดแข็งจากการสนับสนุนภายใต้แบรนด์เฮียม้อ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้ามาจัดอีเวนท์ นปช.ในพื้นที่บ่อยครั้ง แต่ในการสร้างความรับรู้ต่อคนในพื้นที่ยังมีจุดอ่อนอีกมาก

ในทางการเมืองมีการคาดการณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศยุบสภาในอีกไม่นานนี้ ขณะที่พรรคการเมืองสองพรรคใหญ่เปิดตัวนโยบายหาเสียงและผู้สมัคร ส.ส.ไปแล้ว คงต้องรอการลงสนามเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสองพรรคการเมืองจะเข้มข้นขนาดไหน เพราะเะป็นการเลือกตั้งที่วัดกันด้วยอำนาจบารมีของตระกูลและนอมินีนักเลือกตั้งนั่นเอง.