อุทาหรณ์ซ้อน! รถทัวร์เซ็นโอนลอย ก่อเหตุลักทรัพย์สัมภาระต่างชาติ 2 ครั้ง
หากใครยังจำกันได้ถึงคดีอุกฉกรรจ์ที่ทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ก็คงต้องย้อนไปถึงคดีแทงนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ภายในปั้มน้ำมันปิโตรนาส ถนนพระราม 2 ขาเข้ากรุงเทพฯ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมคนขับรถทัวร์ และเด็กรถทัวร์ 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นมือแทงนักท่องเที่ยวเอาไว้ได้
ส่วนเจ้าของรถทัวร์ คือ นายสำรวม ทองเกตุ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 297/10 ถ.ตลาดใหม่ ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ที่ผู้ต้องหาซัดทอดว่าเป็นผู้โดยสารมากับรถด้วย และนำเอาทรัพย์สินทั้งเงินสดสกุลดอลลาร์ กล้องดิจิตอล และพาสปอร์ตของผู้เสียหายหลบหนีไป ภายหลังถูกจับกุมไว้ได้ แต่ประกันตัวสู้คดีในชั้นศาล นอกจากนี้ยังเคยถูกดำเนินคดีเช็คท้องที่ สน.ชนะสงคราม อีกด้วย
ล่าสุด นายสำรวมตกเป็นข่าวก่อเหตุลักทรัพย์นักท่องเที่ยวอีกครั้ง เมื่อชุดสืบสวนนำโดย พ.ต.ท.จักรกริช เสริบุตร สว.งานสืบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (กก.1 บก.ทท.) จับกุมนายสำรวม พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ เฉลิมชัย อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/236 หมู่ที่ 3 ถ.เลี่ยงเมือง ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์นักท่องเที่ยวบนรถโดยสารไม่ประจำทาง
พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเครดิต) ธนาคารต่างประเทศ 1 ใบ อาวุธปืนพกสั้นกึ่งออโตเมติกขนาด 0.22 นิ้ว 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนจำนวน 4 นัด อุปกรณ์สะเดาะแม่กุญแจ 1 อัน และอุปกรณ์การเสพยาเสพติด 1 ชุด โดยสามารถจับกุมได้บริเวณตรอกศาลเจ้า หลังมหาวิทยาลัยศิลปากร (วิทยาเขตวังท่าพระ) ถนนมหาราช แขวงพระบรามมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
การจับกุมในครั้งนี้ ตำรวจท่องเที่ยวได้เบาะแสคนร้ายที่แฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มคนขับรถและพนักงานประจำรถ โดยเฉพาะรถโดยสารปรับอากาศรับจ้างไม่ประจำทาง หมายเลขทะเบียน 31-4721 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกลุ่มอาชญากรที่แฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มคนขับและพนักงานประจำรถ เพื่อก่อเหตุลักทรัพย์ของนักท่องเที่ยวและก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงได้จัดกำลังเฝ้าดูพฤติกรรมและติดตามอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทราบว่ารถโดยสารคันดังกล่าวจะรับนักท่องเที่ยวจากสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 12 พฤศจิกายน และจะไปส่งยังปลายทางกรุงเทพฯ จึงลงพื้นที่เฝ้าระวังในพื้นที่ อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบรถโดยสารปรับอากาศสีส้ม หมายเลขทะเบียนดังกล่าวขับผ่าน จึงใช้รถยนต์ 2 คันสับเปลี่ยนสะกดรอยติดตาม พบว่ารถโดยสารคันดังกล่าววิ่งช้าผิดปกติ ใช้ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
กระทั่งในช่วงเช้า เมื่อรถโดยสารเข้ากรุงเทพฯ ได้ขับอ้อมไปขึ้นสะพานพระพุทธยอดฟ้า แล้ววกกลับมาจอดบริเวณตรอกศาลเจ้า เวลา 06.30 น. วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ต.ท.จักรกริช พร้อมชุดสืบสวนแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานแล้วประกาศให้นักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ในรถประมาณ 15 คน ช่วยตรวจสอบทรัพย์สินของมีค่าว่ามีสิ่งใดสูญหายหรือไม่ ซึ่งทุกคนต่างพยายามตรวจสอบทรัพย์สิน กระทั่งนักท่องเที่ยวชายชาวฝรั่งเศส แจงว่าบัตรเครดิตหายจากกระเป๋าเดินทาง
เมื่อตำรวจควบคุมตัวนายสำรวม และนายธนวัฒน์ไปตรวจค้น พบบัตรเครดิตของชาวต่างชาติที่สูญหายอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาของ นายสำรวม และพบอาวุธปืนขนาด .22 พร้อมกระสุน 4 นัดในช่องเก็บของหน้ารถ อุปกรณ์สะเดาะแม่กุญแจ และอุปกรณ์เสพยาเสพติด (ยาบ้า) อีกด้วย
จากการสอบสวนนายสำรวมให้การรับสารภาพว่า ตนมีหน้าที่เป็นคนขับรถและหากจะลงมือก่อเหตุลักทรัพย์ของผู้โดยสาร ตนจะให้นายธนวัฒน์ มาขับรถแทนตน เมื่อก่อเหตุเสร็จตนจึงจะมาทำหน้าที่ขับรถเหมือนเดิม โดยทำมาแล้วประมาณ 3-4 ครั้ง โดยนายสำรวมนอกจากจะมีคดีติดตัว 2 คดีแล้ว นายธนวัฒน์ก็เคยถูกจับในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง เมื่อปี 2551 พื้นที่ สภ.เมืองระนอง
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหานายสำรวมและนายธนวัฒน์ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์บนยานพาหนะอื่นที่ประชาชนโดยสารในเวลากลางคืน หรือรับของโจร, ร่วมกันมีเพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฯ, เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตตามีน) ขณะขับขี่รถโดยสาร, ส่วนนายสำรวมเพิ่มอีกข้อหาพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบกฯ แก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของตัวรถโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน โทษปรับ 5,000 บาท และใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงฯ เช่น เจาะช่องคนขับ เพื่อให้สามารถเข้าถึงห้องเก็บสัมภาระของผู้โดยสาร ปรับไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย
พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวถึงกลวิธีของคนร้ายว่า ได้ใช้เทคนิคในการเจาะพื้นรถโดยสาร เมื่อสบโอกาสนักท่องเที่ยวที่โดยสารนอนหลับพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน ผู้ก่อเหตุจะเปิดช่องที่เจาะไว้แล้วมุดลงไปรื้อค้นลักทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว หรือบางครั้งหากลักทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวสำเร็จก็จะส่งให้แก่ผู้ร่วมก่อเหตุ ซึ่งดักรอหรือขับรถติดตามมาเอาทรัพย์สินระหว่างที่รถโดยสารจอดให้นักท่องเที่ยวแวะรับประทานอาหาร
อีกด้านหนึ่ง เจ้าของรถโดยสารปรับอากาศเดิม คือ นายพงค์ชาติ ลิ้มวัฒนา ชาว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของรถทัวร์คันที่ก่อเหตุเดิม ได้ตั้งกระทู้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจคนที่ซื้อ-ขายรถ โดยรถโดยสารแต่เดิมเป็นของ หจก.เอกราชทัวร์ ประกอบกิจการรับ-ส่งพนักงานให้กับบริษัทนิสสัน แต่บิดา-มารดาอายุมากแล้ว จึงตัดสินใจเลิกกิจการโดยสั่งวิ่งรถุวันสุดท้ายเมื่อ 30 กันยายน 2554 สั่งจอดที่หน้าบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า บางใหญ่และหนีน้ำท่วมไปบางปู จ.สมุทรปราการเพื่อรอขาย
ที่ผ่านมาตนได้ตั้งกระทู้ประกาศขาย กระทั่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 ตนได้ขายรถทัวร์คันสุดท้ายในบ้านออกไป เนื่องจากไม่มีเวลาดูแลและคนขับชราภาพ หมดสภาพขับไม่ไหว เลยตัดสินใจขายทิ้งหมดในราคา 1.25 ล้านบาท และจะเลิกกิจการ เนื่องจากมีกิจการส่วนตัวเปิดร้านขายอะไหล่รถยนต์ คนมาซื้อรถคือนายสำรวมซึ่งเป็นผู้ต้องหาโดยเงินสดทั้งหมด มีนายทุนอยู่เบื้องหลัง และค่อนข้างจะเป็นผู้กว้างขวางใน จ.สุราษฎร์ธานีด้วย
ปรากฏว่าวันหนึ่งเขาได้รับทราบข่าวว่า รถโดยสารปรับอากาศคันนี้ตกเป็นข่าวว่าก่อเหตุลักทรัพย์ และแทงนักท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งสังเกตจากตำแหน่งไฟ ล้อหลัง และมองกระจกหลัง พบว่าได้ซื้อรถคันนี้ต่อจากตน แต่ยังเซ็นโอนลอยอยู่โดยยังไม่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครอง โดยเจ้าของใหม่พ่นสีใหม่รอเข้าประกอบการตัวเอง ถือชุดโอนลอยไปแล้ว รอหมดอายุใบต่อภาษี ก็จะทำเรื่องโอนเข้าชื่อตัวเอง
หลังข่าวนี้เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรตามมาที่บ้านของตน ซึ่งก็ต้องต้องไปทำเรื่องยืนยันว่าเราซื้อ-ขายรถออกไปแล้ว
สำหรับคดีที่แล้ว หลังซื้อรถออกไปได้ทำสีใหม่ เปลี่ยนเป็นสีเขียว ใช้ชื่อประกอบการคือ “สุราษฎร์111 ทัวร์” โดยทราบว่าเตรียมตัวย้ายจากเอกราชทัวร์ เข้ามายังสุราษฎร์111 ทัวร์ แต่เกิดคดีแทงกันก่อน ภายหลังเปลี่ยนสีรถเป็นสีส้ม แต่เปิดประกอบการใหม่เป็นสุราษฎร์ 111 ทัวร์ไม่ได้ เพราะมีคดีเก่าอยู่ จึงตีตราแฝงเดิม ใช้เอกราชทัวร์ มาต่อทะเบียนเพื่อลักทรัพย์ขโมยของนักท่องเที่ยวตามเดิม หากมีเหตุร้ายก็โยนภาระกลับมาประกอบการเอกราชทัวร์ตามเดิม
พงศ์ชาติกล่าวในอีกกระทู้หนึ่งว่า ทะเบียนหมดอายุวันที่ 30 กันยายน 2555 แต่วันนี้ (พฤศจิกายน 2555) ตนนึกว่ารถโดนยึดอยู่ที่โรงพัก ซึ่งรอบที่แล้วไปแสดงตัวไปรอบหนึ่ง เลยนึกว่าไม่มีอะไรแล้ว เลยทำเฉยเมยไป เพราะตั้งใจยุบเลิกกิจการ ปรากฎว่ากลับต่อทะเบียนในนาม หจก.เอกราชทัวร์ออกมาใช้อีกเหมือนเดิม เพราะรถคันนี้จะทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีตราประทับจากตน
เมื่อตนโทรศัพท์ไปหาพรรคพวกที่รับหน้าที่ต่อทะเบียนแบบไม่ต้องนำรถไปตรวจ กำลังวุ่นกันอยู่ เพราะใครไปต่อทะเบียนคันนี้ซวยแน่นอน เพราะติดคดีเก่าอยู่ ทั้งนี้เห็นว่า คนที่เป็นนายทุนรถทัวร์คันดักล่าวเส้นใหญ่มาก เที่ยวที่แล้วเอารถออกมาได้ แถมน่าจะต่อทะเบียนได้ด้วย เพราะทะเบียนเพิ่งหมดไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ถ้าไม่ได้ต่อทะเบียน แต่ตีตราแฝงเอกราชทัวร์วิ่ง ก็เท่ากับเป็นรถผี รถเถื่อน เวลาเกิดเหตุจะได้ย้อนกลับมาทางเอกราชทัวร์ก่อน
ล่าสุดผู้บังคับการการตำรวจท่องเที่ยว กับสารวัตรสืบสวนท่องเที่ยว และกรมการขนส่งทางบก ร่วมมือกันหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ท้องที่ สน.ชนะสงคราม โดยรถจอดอยู่ที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าขาลงเข้าเมือง เมื่อติดต่อร้อยเวรทางโทรศัพท์ไม่รู้เรื่อง จึงเดินทางไปยัง สน.ชนะสงคราม คุยกับรองผู้กำกับ พอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก็เสนอทางออกด้วยการาแจ้งเลิกใช้รถคันนี้ ยุบบริษัทเอกราชทัวร์ทิ้ง เพื่อให้นายสำรวมรับผิดชอบรถคันนี้เองโดยตรง
เรื่องนี้พงศ์ชาติแนะนำว่า เนื่องจากว่าเวลาซื้อ-ขายรถกัน ถ้ายังโอนลอยอยู่ ยังไม่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครอง เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหมือนเหตุการณ์นี้ เขาจะตามล่าหาเจ้าของรถหรือชื่อผู้ครอบครองก่อน ถ้ามีการซื้อ-ขายกันไป ต้องเอาเอกสารไปยืนยันกันอีกที หากเป็นไปได้ เช็คและตรวจสอบประวัติให้ดีๆ ถ้าเป็นไปได้ ถ้ายังไม่ได้โอนมีแค่ชุดโอนลอย วันรับเงินเซ็นสัญญา ระบุชื่อคนซื้อ และวันและเวลาที่ขายรถไว้ให้ดีๆ เพื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการรถทัวร์เถื่อน หรือใช้รถโดยสารรับจ้างไม่ประจำทางในการรับ-ส่งผู้โดยสารชาวต่างชาติโดยไม่รับคนไทย จากแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เช่น ถนนข้าวสาร ไปยังจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ทั่วประเทศ โดยมีการเสนอราคาค่าโดยสารที่ถูกกว่ารถโดยสารประจำทาง และรถร่วมบริการ บขส. เมื่อสบโอกาสในช่วงนักท่องเที่ยวหลับก็จะ ล้วงกระเป๋าและรื้อค้นทรัพย์สินในห้องสัมภาระ กว่านักท่องเที่ยวจะรู้ก็ต่อเมื่อถึงที่พักแล้ว
ต้องฝากตำรวจท่องเที่ยวจับกุมแก๊งรถทัวร์เถื่อนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาชื่อเสียงที่ดีของประเทศชาติ