“เผาหญ้า” เสี่ยงคุก!

เหตุเพลิงไหม้โชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่งย่าน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี อันเนื่องมาจากชาวบ้านจุดไฟเผาตอซังข้าวบนที่นาแล้วลุกลาม สร้างความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท กระทั่งเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวสีนั้น หากย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ จังหวัดสมุทรสาครก็มีเหตุในลักษณะคล้ายกันมาแล้ว

เวลา 12.00 น. ของวันที่ 13 เม.ย.2555 เกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านไม่มีเลขที่ ฝั่งตรงข้ามซอยต้นสน ถนนเศรษฐกิจ หมู่ 2 ต.นาดี อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร โดยเป็นโรงเรือนที่จัดเก็บเสื่อพลาสติก ที่ชาวบ้านรับจ้างผูกเชือกปลายเสื่อพลาสติก ซึ่งมีนายมานะ เขียวชม เป็นเจ้าของ ใกล้กันเป็นโรงเรือนคัดแยกพลาสติก ซึ่งมีเครื่องโม่ถุงพลาสติกอยู่ภายใน

สาเหตุพบว่าต้นเพลิงเกิดจากไฟที่ไหม้ป่าหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นก้านธูปเป็นวงกว้าง ก่อนจะลุกลามมายังโรงเรือนดังกล่าว รถดับเพลิงหลายสิบคันทำการสกัดเพลิงที่ลุกลามกว่า 2 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ป่าหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นก้านธูปพร้อมกันหลายจุด ประกอบด้วย ซอยหุบสังกะสี ซอยทางเข้าโรงงานลี้กิจเจริญแสง ถนนพระราม 2 และด้านหลังโกดังตู้คอนเทนเนอร์ ของบริษัทเอกชัยคอนเทนเนอร์เทอร์มินอล ถนนเอกชัย รถดับเพลิงทั่วจังหวัดสมุทรสาครต้องแบ่งงานกันทำหน้าที่สกัดเพลิงไม่ให้ลุกลาม

จากนั้นเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 19 เม.ย.2555 มีรายงานว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ป่าหญ้าบริเวณสะพานข้ามทางรถไฟมหาชัย-วงเวียนใหญ่ ต.คอกกระบือ อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร โดยเพลิงเริ่มจากป่าหญ้าใกล้ทางรถไฟบริเวณไม่กว้างนัก แต่หลังจากนั้นเมื่อมีกระแสลมพัดไปทางถนนพระราม 2 อย่างรุนแรง ทำให้เพลิงลุกลามขยายตัวอย่างรวดเร็ว

บริเวณริมถนนพระราม 2 ด้านหน้าป่าหญ้านั้นเป็นที่ตั้งของร้านขายยางรถยนต์ ร้านจำหน่ายไม้แปรรูป โรงงานที่มีถังพลาสติกและเศษวัสดุเก็บไว้จำนวนมาก รวมทั้งยังมีบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว รถดับเพลิงต้องวิ่งเข้าไปสกัดเพลิงแต่ละจุดไม่ให้ลุกลามไปยังสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้

จากคำบอกเล่าของชาวบ้านเปิดเผยว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากมีคนไปจุดไฟเผาขยะ หรือทิ้งเศษบุหรี่เอาไว้และดับไม่หมดจึงเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา กระทั่งเพลิงลุกลามอย่างเร็วในเวลาเพียงไม่กี่นาที อย่างไรก็ตาม หากการตัดสินใจเผาป่าหญ้าเกิดจากเจ้าของที่ดิน มักจะมีเหตุผลต้องการไล่สัตว์เลื้อยคลาน ต้องการเตรียมที่ดินไว้ทำการเกษตร หรือนำที่ดินไปขาย

ลักษณะทางกายภาพของถนนพระราม 2 และถนนเศรษฐกิจ ในพื้นที่ อ.เมืองสมุทรสาคร และ อ.กระทุ่มแบนนั้น หากเป็นที่ดินเปล่าและพื้นที่โล่ง มักจะเต็มไปด้วยป่าหญ้าที่ประกอบด้วยต้นก้านธูป หรือต้นกกช้าง ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกว่าต้นธูปฤาษี หรือหากมีจำนวนมากก็เรียกว่าดงปรือหรือป่าปรือ ซึ่งเป็นไม้ล้มลุกที่จัดว่าเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง

การขยายพันธุ์ของต้นก้านธูปนั้นไม่ต่างไปจากหญ้า โดยการที่เมล็ดปลิวไปตามลม ซึ่งเมล็ดมีขนอ่อนนุ่ม มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทำให้ในจังหวัดสมุทรสาครเราจะเห็นต้นก้านธูปไม่ยากนัก และหากเป็นในช่วงหน้าร้อนต้นก้านธูปก็จะมีสภาพแห้ง เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีหากสัมผัสกับประกายไฟ

เจ้าของที่ดินเปล่ามักจะมองว่าต้นก้านธูปเป็นวัชพืช ซึ่งหากจะกำจัดมีอยู่สองวิธี คือ การไถโดยใช้เครื่องตัดหญ้าตัดเข้าไปที่ลำต้น ซึ่งทำได้ลำบากและมีค่าใช้จ่ายสูง กับอีกวิธีหนึ่งคือการลักลอบจุดไฟเผา ซึ่งในช่วงฤดูร้อนสามารถทำได้ง่าย เนื่องจากไม่มีน้ำขัง แต่ก็ต้องเสี่ยงกับเพลิงที่จะลุกลามไปยังสิ่งปลูกสร้างหรือชุมชนที่ติดกับป่าหญ้า

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลักลอบเผาป่าหญ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การเกิดกลุ่มควันทำให้เป็นมลพิษทางอากาศ และทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง ซึ่งบ่อยครั้งหากไฟไหม้หญ้าเกิดขึ้นริมทางหลวง รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงจะมองไม่เห็นทางเนื่องจากมีควันจาการเผาป่าหญ้า นำไปสู่อุบัติเหตุประเภทชนท้ายซ้อนกัน หรือพลิกคว่ำลงข้างทาง

หากการเผาหญ้าทำให้เกิดอันตรายหรือทำให้เกิดความเสียหายนั้น จะมีความผิดทางกฎหมาย โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ระบุว่า ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษไม่เกินเจ็ด (7) ปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พัน (14,000) บาท

ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218

มาตรา 218 ระบุว่า ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้ (1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย (2) โรงเรือน เรือ หรือแพอันเป็นที่เก็บหรือที่ทำสินค้า (3) โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม (4) โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นสาธารณสถาน หรือเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมตามศาสนา (5) สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน หรือที่จอดรถหรือเรือสาธารณะ (6) เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป อากาศยาน หรือรถไฟที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้า (5) ปีถึงยี่สิบ (20) ปี

ถึงกระนั้น เราจะพบช่องโหว่ของกฎหมายในมาตรา 223 ระบุว่า ความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 (วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น) มาตรา 218 มาตรา 220 มาตรา 221 (เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น) หรือมาตรา 222 (เกิดระเบิดกับสถานที่ตามมาตรา 218) นั้น ถ้าทรัพย์ที่เป็นอันตราย หรือที่น่าจะเป็นอันตรายเป็นทรัพย์ที่มีราคาน้อย และการกระทำนั้นไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี (3) หรือปรับไม่เกินหกพัน (6,000) บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่สำหรับมาตรา 224 (แก้ไขเพิ่มเติม ปี 2551) ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 มาตรา 218 มาตรา 221 หรือมาตรา 222 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎหมายบัญญัติออกมา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้มักจะเกิดความคลุมเครือในการใช้กฎหมาย เพราะอาจจะเป็นการเผาขยะโดยชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเจ้าของที่ดินไม่รู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุที่มีการทิ้งก้นบุหรี่หรือวัสดุที่ติดไฟลงไปในป่าหญ้า แน่นอนว่าเมื่อหลักฐานไม่เป็นที่เด่นชัด เจ้าหน้าที่ตรวจจึงไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้

ถึงกระนั้น เจ้าของทรัพย์สินที่อยู่ติดกับป่าหญ้า นอกจากการทำประกันอัคคีภัยที่จะคุ้มครองความเสี่ยงซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดแล้ว การป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ป่าหญ้าเกิดลุกลามไปยังสิ่งปลูกสร้างนั้น อาจจะร้องขอเจ้าของที่ดินให้ขุดร่องน้ำบริเวณชายขอบที่ดินเพื่อเป็นแนวกันชน ไม่เช่นนั้นควรที่จะหมั่นสอดส่องดูแลป่าหญ้าที่อยู่ติดกันอย่างสม่ำเสมอ

หากพบเห็นเพลิงไหม้ป่าหญ้าในลักษณะกินวงกว้างและคาดว่าจะเข้าไปในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ใหรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของท่าน หรือหมายเลข 199 หากไม่เป็นผลให้โทรศัพท์ไปที่สถานีวิทยุ จส.100 โทร. 1137 หรือมือถือระบบดีแทคกด *1808 เพื่อให้ จส.100 ช่วยประสานงานอีกทางหนึ่งด้วย

แต่ทางที่ดี เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินควรมีส่วนรับผิดชอบกับคนรอบข้าง หรือต่อสังคมส่วนรวม ด้วยการเปลี่ยนวิธีกำจัดป่าหญ้าเป็นการไถลงไปแทน เพราะการเผาย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับชาวบ้าน รวมทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และหากเกิดเหตุลุกลามบานปลายจะเป็นการเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงโดยไม่จำเป็น.



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง